THE EMOTION CODE
The Emotion Code
ศาสตร์นี้ถูกคิดค้นขึ้นโดย Dr.Bradley Nelson ซึ่ง Emotion Code ถือเป็นหนึ่งในศาสตร์เชิงพลังงาน (Energy Healing) ที่สามารถเข้าไปปรับสมดุลพลังงานภายในร่างกาย เพื่อสุขภาพกายและใจที่ดีขึ้น โดยใช้การสื่อสารกับจิตใต้สำนึก (Subconscious Mind) ผ่านการทำ Muscle Testing เพื่อระบุและดึงอารมณ์ลบที่ติดค้างในจิตใจและร่างกายที่เกิดจากเหตุการณ์ในอดีตออกมา ซึ่งจะส่งผลให้พลังงานในตัวคุณถูกปรับเข้าสู่สมดุลมากขึ้น บรรเทาอาการเจ็บป่วยทางกายและใจ
การโค้ชชิ่งแบบผสมผสาน
ใช้กับการพัฒนาตัวเองในเรื่องใดบ้าง
การรู้จักและเข้าใจตัวเอง
(Self-Discovery)
สุขภาพ
(Health)
การพัฒนาตัวเอง
(Personal Development)
ความกล้าและเคารพตัวเอง
(Courage & Self-esteem)
การสื่อสาร
(Communication)
การบริหารจัดการเวลาและความเครียด
(Time and Stress Management)
การบริหารจัดการอารมณ์
(Emotional Management)
ความสัมพันธ์
(Relationship)
หรือเรื่องการพัฒนาชีวิตในด้านอื่นๆ ตามความต้องการของคุณ
ตัวอย่างประเด็นที่พบบ่อยในการโค้ชชิ่งแบบผสมผสาน
-
ค้นหาตัวเอง
-
จุดประสงค์ของการเกิดมา
-
รู้ความต้องการของตัวเอง
-
รู้จักและเข้าใจธรรมชาติของตัวตน
-
- ค้นหาความสุขของชีวิต
- ความสุขคืออะไร
- ความสุขวัดได้อย่างไร
- อยู่กับตัวเองอย่างมีความสุขได้อย่างไร
- การบริหารจัดการสุขทุกข์ในชีวิต
- ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับงาน
- ค้นหางานแห่งชีวิต
- ความถนัดหรือสิ่งที่ทำได้ดี
- ความชอบหรือสิ่งที่รักที่จะทำ
- แนวทางอาชีพหรือคณะที่เหมาะกับตัวเอง
- การสื่อสารและการใช้ใจในการบริหารจัดการคน
- การบริหารจัดการงานและชีวิตได้อย่างสมดุล
- ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์
- การเลือกคู่ชีวิต
- การปรับตัวเข้าหากัน
- การเข้าใจความต้องการของตัวเองและคู่
- โสดอย่างมีความสุขได้อย่างไร
-
การพัฒนาความสัมพันธ์กับคนรอบตัว
-
การพัฒนาความสัมพันธ์กับคนในที่ทำงาน
-
ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ
-
ทางเลือก A หรือ B
-
อยู่ หรือ ไป
-
อยู่ หรือ ลาออก
-
-
การปรับมุมมองหรือแนวคิดเพื่อใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
-
ความคิดหรือความเชื่อที่ฉุดรั้ง
-
หาแนวทางออกจากทุกข์ที่เผชิญอยู่
-
ปรับมุมมองเพื่อหาทางเลือกใหม่ในชีวิต
-
-
ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมต่างๆ
-
Perfectionism หรือการแสวงหาความสมบูรณ์แบบ
-
Procastination หรือการผลัดวันประกันพรุ่ง
-
People Pleaser หรือการแสวงหาการยอมรับจากผู้อื่นมากเกินไป
-
Unhealthy Boundaries หรือการไม่สามารถกำหนดขอบเขตหรือจุดยืนของตัวเองได้อย่างเหมาะสม
-
-
การบริหารจัดการอารมณ์
-
การบริหารจัดการความเครียด, ความวิตกกังวล, ความกลัว, ความโกรธ, ความเศร้า หรืออารมณ์อื่นๆ
-
โค้ชชิ่งแบบผสมผสานเหมาะกับใคร
-
ผู้ที่เชื่อในการผสมผสานของศาสตร์ เชื่อว่าไม่มีเครื่องมือใดเครื่องมือหนึ่งที่จะสามารถตอบโจทย์ได้กับทุกปัญหา เชื่อในความแตกต่างเฉพาะตัวในแต่ละบุคคล ไม่เชื่อในเรื่องของ One-size fits all
-
ผู้ที่รักการพัฒนาตัวเอง ต้องการจะเปลี่ยนแปลงชีวิตให้มีความสุขและสำเร็จมากขึ้นอย่างยั่งยืน
-
ผู้ที่ตัองการปลดล็อคศักยภาพภายในที่มีในตัวเองและดึงศักยภาพนั้นมาใช้ในชีวิตได้ดีขึ้น
-
ผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะชีวิตเพื่อเดินทางสู่การใช้ชีวิตอย่างสมดุลและอิ่มเต็ม
-
ผู้ที่ต้องการมองเห็นมุมมองและโอกาสในชีวิตแบบใหม่ที่มีคุณค่าและสอดคล้องกับเป้าหมายชีวิต
โค้ชชิ่งแบบผสมผสานไม่เหมาะกับใคร
-
ผู้ที่มีความเชื่อว่าคนเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพัฒนาได้
-
ผู้ที่รอคอยการเปลี่ยนแปลงที่สร้างโดยผู้อื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง
-
ผู้ที่ต้องการความสุขและสำเร็จอย่างรวดเร็วและฉาบฉวยจากปาฏิหาริย์
สิ่งที่คุณจะได้รับจากการโค้ชชิ่งแบบผสมผสาน
-
ประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาชีวิต ประหยัดเวลาจากการลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง จากการเรียนรู้แนวทางการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบผ่านกระบวนการและเครื่องมือต่างๆ ที่ผ่านการศึกษาและการวิจัยมาแล้วเป็นอย่างดีจากผู้เชี่ยวชาญ
-
หลักคิดและเครื่องมือการพัฒนาตัวเองต่างๆ ที่ถูกคัดเลือกให้เหมาะสมกับความต้องการของคุณโดยเฉพาะ ซึ่งคุณสามารถนำเครื่องมือเหล่านั้นไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาตัวเองได้ตลอดชีวิต
-
การสนับสนุนและดูแลอย่างใกล้ชิดในรูปแบบการโค้ชชิ่งตัวต่อตัว โดยมีโค้ชเป็นเพื่อนร่วมเดินทางที่จะช่วยให้คุณก้าวเดินสู่ผลลัพธ์ที่คุณตั้งใจไว้
ช่องทางการรับบริการโค้ชชิ่งแบบผสมผสาน
-
Online ผ่านโปรแกรม Zoom
-
ผู้ที่เข้ารับบริการโค้ชชิ่งเป็นใครบ้างผู้ที่ต้องการพัฒนาตัวเองผ่านกระบวนการทำความรู้จักและเข้าใจตัวเอง ต้องการ shorten the process ในการแก้ไขปัญหาภายในตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ หรือผู้ที่ต้องการเพิ่มความแข็งแรงของสุขภาพทางใจ โดยผู้เข้ารับบริการหลักคือ เจ้าของกิจการ ทายาทธุรกิจ ผู้บริหารองค์กร ที่รองลงมาคือ พนักงานองค์กรในช่วง mid-career crisis และนักศึกษา
-
ใช้เวลานานแค่ไหนถึงเห็นการเปลี่ยนแปลงเมื่อผู้เข้ารับบริการมีความตระหนักรู้เกี่ยวกับตัวเองเพิ่มขึ้นหรือได้ตระหนักรู้ในสิ่งที่อาจไม่เคยตระหนักรู้มาก่อน เข้าใจที่มาที่ไปจากการวิเคราะห์ถึงสาเหตุของการเกิดปัญหา เข้าใจกลไกที่เกิดขึ้นภายในตัวเอง การเปลี่ยนแปลงภายในก็ได้เริ่มต้นเกิดขึ้นแล้ว อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงมีหลายระดับ ไม่ว่าจะเป็นระดับความคิด ระดับความรู้สึก หรือระดับพฤติกรรม การเปลี่ยนแปลงที่จะเห็นชัดเจนในเชิงรูปธรรมมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับการทำงานร่วมกันระหว่างผู้เข้ารับบริการและโค้ช การเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิดขึ้นเลยหากผู้เข้ารับบริการไม่สามารถเปิดใจให้ความร่วมมือที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงนั้นด้วยตัวเองตามแนวทางที่ได้พูดคุยกัน และหวังว่าการเดินมาเจอโค้ชเพียงอย่างเดียวจะช่วยทำให้ปัญหานั้นหายไป มันจะไม่เป็นเช่นนั้น การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้เข้ารับบริการมุ่งมั่นตั้งใจสร้างให้การเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้น โดยโค้ชจะเป็นเพื่อนร่วมทาง สะท้อน ชี้แนะแนวทาง และสนับสนุนช่วยเหลือในการหาทางออกร่วมกัน โดยผู้ที่เดิน ผู้ที่ลงมือทำ ผู้ที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงนั้นที่แท้จริงคือผู้ที่เข้ารับบริการเอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของกระบวนการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนที่เกิดขึ้นจากภายใน
-
ความถี่ในการเข้ารับการโค้ชชิ่งบ่อยครั้งแค่ไหนเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดของการเข้ารับบริการ แนะนำเป็นการเริ่มเข้ารับ session 1 ครั้ง ต่อ 1 สัปดาห์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่ความเหมาะสมและความต้องการของโค้ชชีด้วยเช่นกัน